เศรษฐาคิกออฟ “2568 ปีท่องเที่ยว” ดึงอีเวนต์โลก

รัฐบาลจัดใหญ่เวิร์กช็อป IGNITE THAILAND’S TOURISM ดึงหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชนระดมสมองร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ คิกออฟปีแห่งการท่องเที่ยวไทย 2568 ย้ำการท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 3 เรือธงสำคัญของประเทศ “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รมว.การท่องเที่ยวฯ ให้โจทย์ใหญ่ เฟ้นหาจุดแข็ง จุดพลังเมืองหลักชูเมืองรอง หนุนดึงอีเวนต์ระดับโลกจัดในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดประชุมระดมความคิดเห็นจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชน ในงาน IGNITE THAILAND’S TOURISM จุดพลัง รวมใจ ประเทศไทยเป็นที่ 1 ในด้านการท่องเที่ยว ในวันที่ 15 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมจำนวนมาก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในโอกาสเปิดการประชุมพร้อมมอบนโยบาย IGNITE THAILAND’S TOURISM ว่า ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย เป็นปีที่ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากนโยบายหลากหลายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เช่น การประกาศนโยบายยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) ที่ผ่านมา รวมถึงการเจรจาขอให้สหภาพยุโรป (EU) ยกเว้นวีซ่าเชงเก้นให้คนไทย ซึ่งจากการพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้รับการสนับสนุนที่ดี

รวมถึงการอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รวมถึงซอฟต์แวร์การตรวจคนเข้าเมือง และการมอบประสบการณ์ที่ดีให้นักท่องเที่ยวตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายที่จะเดินทางออกจากประเทศไทย

“ภาคการท่องเที่ยวถือเป็น 1 ใน 3 เรือธงที่สำคัญที่สุดของประเทศ การจัดเวิร์กช็อประดมสมองจากหลาย ๆ หน่วยงานในครั้งนี้เป็นเป้าหมายสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2568 ซึ่งจะให้เริ่มวางแนวทางโปรโมตตั้งแต่ปลายนี้เป็นต้นไป เพื่อคิกออฟปีท่องเที่ยวไทยในปี 2568” นายเศรษฐากล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการลงทุนและการสนับสนุนเงินงบประมาณก็ต้องมีบ้าง แต่ต้องคุ้มค่าจริง ๆ

นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์ที่ดีอยู่แล้ว สามารถดึงออกมาใช้ได้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมภาคท่องเที่ยวคิดนอกกรอบ ควบคู่กับการดูแลเงินภาษีของคนไทยด้วย

ด้านนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กว่าวว่า งานประชุม IGNITE THAILAND’S TOURISM เป็นการรวมตัวกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน เพื่อร่วมระดมสมองในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งจะนำมาร่วมจุดพลังให้การท่องเที่ยวของไทยก้าวไปเป็นที่ 1 ของภูมิภาค และที่ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว หรือ Tourism Hub โลก ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน)

นางสาวสุดาวรรณกล่าวว่า ในปี 2566 การท่องเที่ยวไทยสามารถสร้างรายได้ 2.13 ล้านล้านบาท และในปี 2567 รัฐบาลมีเป้าหมายในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท ขณะที่นายกรัฐมนตรีมีเป้าที่ท้าทายที่ 3.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดันก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายดังกล่าวได้ เนื่องจากในวันนี้ประเทศไทยมีศักยภาพที่สูงมาก

“ในปี 2560 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็น 18.64% ของ GDP และ 12.8% ในปี 2566 สะท้อนว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจส่วนสำคัญของประเทศไทยส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” นางสาวสุดาวรรณกล่าวและว่า การท่องเที่ยวก็เป็นจุดแข็งของประเทศไทย จึงจำเป็นต้องผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ปรับสเกลการพัฒนาให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น

ทั้งปรับกลยุทธ์ให้นักท่องเที่ยวเพิ่มรายจ่ายต่อทริป และเพิ่มจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยว รวมถึงกระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองรองอย่างทั่วถึง ผ่านการผลักดัน 5 ประเด็นสำคัญที่ได้จัดเวิร์กช็อปครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.Things must do in Thailand คือ สิ่งที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนประเทศไทย อาทิ อาหารไทย มวยไทย ผ้าไทย วัดไทย Thai Show โดยเฟ้นหาและผลักดันสิ่งเหล่านี้และใช้ความทรงพลังของเอกลักษณ์ไทยให้เข้าไปอยู่ในใจของนักท่องเที่ยว และเก็บความประทับใจกลับไปบอกต่อและกลับมาเที่ยวซ้ำ

2.จุดพลังเมืองหลักชูเมืองรอง โดยยกระดับเมืองรองให้เป็นจุดท่องเที่ยวมากขึ้น และทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยวได้ทั้ง 365 วัน โดยเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่เมืองรอง ส่งต่อและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ยกระดับมาตรฐานที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมการท่องเที่ยว พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้

3.ยกระดับ World Class Events โดยประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาและยกระดับสู่การเป็นเมืองแห่ง World Class Events ทั้งความพร้อมของสนามกีฬาขนาดใหญ่ ศูนย์การประชุม ศูนย์การจัดแสดงสินค้าที่มีมาตรฐานและศักยภาพในการรองรับการจัดงานอีเวนต์ระดับโลก

โจทย์สำคัญวันนี้คือจะหาวิธีทำอย่างไรในการผลักดันให้ไทยเป็นเมืองศูนย์กลางมหกรรมความบันเทิงระดับโลก และก้าวสู่การเป็นเมืองศูนย์กลางงานเทศกาลงานศิลปะ งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ การประชุมระดับนานาชาติ และมหกรรมคอนเสิร์ต โดยนำศิลปินระดับโลกเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงการยกระดับเทศกาลไทยจาก Local to Global เช่น เทศกาลสงกรานต์ ลอยกระทง ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

“การจัดมหกรรมในระดับ World Class Events จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับทุกภาคส่วน และกระจายลงสู่ระดับภูมิภาค ท้องถิ่น และชุมชนอย่างทั่วถึง” นางสาวสุดาวรรณกล่าว

4.ประสานพลัง ASEAN Connectivity การเชื่อมแบบไร้รอยต่อ โดยร่วมกันหาวิธีการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวผ่านเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน จับมือกับประเทศพันธมิตรในระดับภูมิภาคโดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคอาเซียน และสร้างความเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ เพื่อรวมการท่องเที่ยวในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว

และตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางหลัก โดยดึงจุดแข็งของแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจากประเทศเพื่อนบ้านมารวมเป็นแพ็กเกจดึงดูด และค้นหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิม ต่อจิ๊กซอว์เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความหลากหลายให้กับการท่องเที่ยวของไทยและประเทศในภูมิภาคอาเชียน

พร้อมทั้งผลักดันให้เกิด Single Visa ปลดล็อกปัญหาอุปสรรคในการข้ามแดน เพื่อก้าวสู่การเป็น ASEAN One Destination โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง และ 5.การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว โดยต้องสร้างประสบการณ์และความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวก ความสะอาด รวมทั้งการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวต้องบูรณาการความร่วมมือในการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ใช้เสน่ห์ ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของคนไทย ดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับการให้บริการ สร้างประสบการณ์ที่ดีและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ นำไปสู่การกลับมาท่องเที่ยวซ้ำและบอกต่อ

“กระทรวงการท่องเที่ยวฯเชื่อว่าเมื่อทุกส่วนร่วมใจกันจุดพลังทั้ง 5 ประเด็นดังกล่าว จะเป็นตัวช่วยในการกำหนดยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์ในการนำศักยภาพของประเทศไทยมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายการเป็น Tourism Hub ได้อย่างแท้จริง” นางสาวสุดาวรรณกล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เศรษฐาคิกออฟ “2568 ปีท่องเที่ยว” ดึงอีเวนต์โลก

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.prachachat.net

2024-03-16T07:25:40Z dg43tfdfdgfd