นายกฯเร่งปลดล็อกวีซ่าเชงเก้น อัพสนามบิน เพิ่มไฟลต์แอร์ไลน์

“เศรษฐา” เจรจาปลดล็อกเชงเก้นวีซ่า เปิดทางดึงนักท่องเที่ยว กระตุ้นตลาดยุโรป เร่งยกระดับสนามบินทั่วประเทศ เล็งจัดงาน Airline FAM Trip โชว์ศักยภาพประเทศไทยสู่การเป็นฮับการบินอาเซียน ด้านสมาคมท่องเที่ยวกระบี่วอนรัฐบาลช่วยดึง Scheduled Flight ลงกระบี่เพิ่มสนับสนุนท่องเที่ยวโต

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในโอกาสเดินทางไปร่วมกิจกรรม The Amazing Thailand Networking Event with the Prime Minister of Thailand ในงาน International Tourismus Borse หรือ ITB Berlin 2024 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 ว่ารัฐบาลยังมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย Ease of Traveling อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างชาติในการเดินทางมาสู่ประเทศไทย ทั้งเพื่อท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน

โดยปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการเจรจาขอยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) กับประเทศในกลุ่มเชงเก้น สำหรับกลุ่มประเทศในยุโรป เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศอาเซียนที่รัฐบาลมีแผนหารือร่วมกันในการเปิด “One Visa, Free your Destination” เพื่อให้สามารถเดินทางภายในภูมิภาคได้ ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายได้ 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2567 นี้

นายเศรษฐากล่าวว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ดำเนินการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ไปแล้วในบางประเทศ ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ทำข้อตกลงวีซ่าฟรีระหว่างกัน ซึ่งได้เริ่มไปแล้วในวันที่ 1 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา การขยายเวลาการยกเว้นวีซ่าให้กับผู้ถือหนังสือเดินทางสัญชาติคาซัคสถานออกไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567

รวมถึงยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวไต้หวันและอินเดียถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 การยกเว้นวีซ่าและขยายระยะเวลาให้นักท่องเที่ยวรัสเซียอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 90 วัน จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 และการยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 ที่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า เพื่อตอบโจทย์การเป็นศูนย์กลางทางการบินของอาเซียน รัฐบาลมีแผนในการสร้างท่าอากาศยานนานาชาติเพิ่มอีก 2 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ ประกอบด้วย ท่าอากาศยานนานาชาติล้านนา (เชียงใหม่ แห่งที่ 2) และท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน (ภูเก็ต แห่งที่ 2) ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่งนี้จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 40 ล้านคนต่อปี

พร้อมทั้งยกระดับท่าอากาศยานอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มศักยภาพในการรองรับเที่ยวบินจากต่างประเทศและการต่อเที่ยวบินในประเทศ และพัฒนาศักยภาพเชื่อมโยงของการเดินทางโดยปรับปรุงบริการภาคพื้น และลดระยะเวลากระบวนการผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออก จัดสรรสลอตขึ้นลงอากาศยานให้เหมาะสมกับการรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศมากขึ้น รวมถึงลดค่าบริการขึ้นลงอากาศยาน และเพิ่มค่าธรรมเนียมการดีเลย์ เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนและรองรับเที่ยวบินให้ได้มากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมจัดงาน “Air-Mazing Thailand : The Amazing Airline FAM Trip” เพื่อโชว์ศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub) ที่เชื่อมโยงการเดินทางของภูมิภาคอาเซียน และร่วมมือกับพันธมิตรสายการบินต่าง ๆ ในการขยายเส้นทางบินใหม่ และเพิ่มเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางต่าง ๆ ในประเทศไทย

นายเศรษฐากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ไม่เพียงเท่านี้ รัฐบาลยังดึงเอาวัฒนธรรม งานประเพณี อัตลักษณ์ของประเทศซึ่งเป็น Soft Power ที่โดดเด่นมาเป็นจุดขาย เพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมายให้กับนักท่องเที่ยว โดยจะยกระดับงานประเพณีที่สำคัญให้เป็นเทศกาลระดับนานาชาติ

อาทิ เทศกาลมหาสงกรานต์ ด้วยการจัดกิจกรรม Maha Songkran World Water Festival 2024 ซึ่งมีแผนจัดอย่างยิ่งใหญ่ และส่งเสริมให้มีการจัดงานทั่วประเทศ กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ และประชาสัมพันธ์ให้งานสงกรานต์ของไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล รวมถึงสนับสนุนการจัดเทศกาลระดับนานาชาติอื่น ๆ ในประเทศไทย รวมถึงเทศกาลดนตรี คอนเสิร์ต เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในงานดังกล่าวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบปะกับภาคเอกชนท่องเที่ยวไทยที่ได้ร่วมงาน และพูดคุยกับตัวแทนของบูทต่าง ๆ อาทิ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ฯลฯ

โดยตอนที่ท่านนายกฯ เศรษฐาแวะมาที่บูทกระบี่ นางสาวศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ”ว่า สมาคมได้รายงานปัญหาของกระบี่ที่ขาดองค์กรบริหารท่าอากาศยานที่มีนโยบายที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยปัจจุบันสนามบินกระบี่มีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 8 ล้านคนต่อปี แต่มี Scheduled Flight บินมาลงแค่วันละ 5-6 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารประมาณ 1,000-1,200 คนต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นการ Under Utilised Capacity ของสนามบินเป็นอย่างมาก

กระนั้นก็ตามในเดือนมกราคม 2567 เดือนเดียวจังหวัดกระบี่สามารถนำรายได้เข้าประเทศไทยถึง 1,700 ล้านบาท ดังนั้น หากกระบี่มีโอกาสมี Scheduled Flight บินมาลงมากกว่านี้ก็จะสามารถเติบโต และทำรายได้ให้กับประเทศได้มากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน

“หลังได้รับรายงานปัญหา ท่านนายกฯ เศรษฐาได้สั่งการให้นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ หรือ ทอท. ดำเนินการหาสายการบินมาลงจังหวัดกระบี่เพิ่มทันที ให้เสมือนว่าท่าอากาศยานกระบี่ได้ถูกถ่ายโอนไปอยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” นางสาวศศิธรกล่าว

ขณะที่พลตำรวจเอกวิสนุ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT กล่าวว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นพัฒนาสนามบินในความรับผิดชอบให้มีความพร้อมให้บริการผู้โดยสารด้วยมาตรฐานเหนือระดับ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวของประเทศให้เติบโต ตลอดจนเป็นการสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นายกฯเร่งปลดล็อกวีซ่าเชงเก้น อัพสนามบิน เพิ่มไฟลต์แอร์ไลน์

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.prachachat.net

2024-03-09T03:06:33Z dg43tfdfdgfd